เป็นนวัตกรรมการศึกษาที่เสนอแนวคิดใหม่ในการสอนภาษา เกิดจากความพยายามของนักการศึกษาและนักภาษาศาสตร์ ซึ่งมองเห็นการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ซึ่งเกิดจากการสอนที่ครูมุ่งเน้นสาระทางภาษาเป็นหลัก ทำให้การเรียนการสอนไม่น่าสนใจ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ คือไม่เหมาะสมกับวัย ความสนใจและความสามารถของเด็ก และเมื่อคำนึงถึงประโยชน์ที่เด็กจำเป็นต้องใช้ภาษาในการเรียนรู้และการสื่อสารในชีวิตจริง พบว่า การสอนภาษาไทยแบบเดิม ( Traditional Approavhes ) ไม่เน้นความสำคัญของประสบการณ์และภาษาที่ใช้ในชีวิตจริง จึงไม่ได้ให้โอกาสเด็กเรียนรู้ภาษาและใช้ภาษาเพื่อสื่อสารอย่างมีความหมายเท่าที่ควร
เป็นแนวการสอนที่มีประสิทธิภาพ เพราะมีความสอดคล้องกับความต้องการในการเรียนรู้และความสนใจของเด็ก (บุษบา ตันติวงศ์,2538) และเป็นการพัฒนาภาษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะเกิดผลดีในระยะยาว (ฉันทนา ภาคบงกช, ม.ป.ป.) นอกจากนี้ การสอนภาษาแบบธรรมชาติยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาการรู้หนังสือขั้นตน (Early Literacy) ให้แก่เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กที่มาจากครอบครัวรายได้น้อยหรือฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำ เป็นการป้องกันความล้มเหลวในระบบการศึกษาอีกด้วย
กู๊ดแมน ( Goodman, 1986 อ้างถึงใน บังอร พานทอง 2550 : 70 – 72) กล่าวถึงความหมายของการสอนภาษาแบบธรรมชาติว่าเป็นการเรียนการสอนที่เน้นการสอนภาษาอย่างมีความหมาย โดยผู้เรียนจะอาศัยประสบการณ์ของตนเองประกอบการเรียน ไม่แบ่งแยกภาษาเป็นส่วนย่อย เป็นการีสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดความกล้าและมั่นใจในตนเองในการที่จะใช้ภาษา ไม่เกรงว่าจะผิด ทั้งนี้เพราะผู้สอนไม่เน้นการลงโทษเมื่อเด็กใช้ภาษาผิด แต่พยายามชี้ให้เห็นข้อบกพร่องโดยทางอ้อม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแก้ไขตนเอง
พัชรี ผลโยธิน (2537:196) กล่าวว่า การสอนภาษาแบบธรรมชาติเป็นการสอนที่พยายามจะใช้ภาษาเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ การสื่อสารและการคิดโดยไม่พยามยามแยกภาษาเป็นส่วนย่อย แต่เป็นการมองภาษาโดยรวม สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์จริงมาช่วยทำให้ภาษานั้นง่ายต่อการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นการพูด การอ่าน การฟัง และการเขียน ถ้าเป็นสิ่งที่มีความหมาย มีประโยชน์หรือเด็กสนใจและต้องการ จะเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับการเรียนภาษา
มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์ (2537:67) กล่าวว่า การสอนภาษาแบบธรรมชาติ เป็นแนวการสอนทักษะทางภาษาสัมพันธ์ที่จัดรวมทักษะทางภาษา คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียนไปด้วยกันอย่างมีระบบ เนื่องจากการเรียนรู้ทักษะทั้งสี่ไปพร้อม ๆ กัน จะช่วยเสริมพัฒนาทักษะซึ่งกันและกัน
อารี สัณหฉวี (2544:54) กล่าวว่า การสอนภาษาแบบธรรมชาติ หมายถึง การสอนเด็กให้เรียนรู้ภาษาจากประสบการณ์ที่มีความหมาย โดยเด็กได้รับการสนับสนุนกำลังใจจากผู้ใหญ่ และได้แบบอย่างที่ดีของผู้ใหญ่ในการพูด ฟัง อ่าน และเขียน ทั้งนี้การเรียนรู้ภาษาจะง่ายและสนุกสำหรับเด็ก ถ้าเด็กเข้าใจ มีประสบการณ์ตรง และได้อภิปรายพูดคุยในบรรยากาศที่อบอุ่นและยอมรับ
พนิดา ชาตยาภา (2544:16) ได้กล่าวว่า การสอนภาษาแบบธรรมชาตินั้น หมายถึง การจัดประสบการณ์ให้เด็กเกิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนไปพร้อม ๆ กันโดยไม่แยกย่อย ทั้งนี้มุ่งเน้นความสัมพันธ์ของภาษาเพื่อใช้ในการสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรจัดสภาพแวดล้อมให้เป็นการกระตุ้นและเปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้ภาษาในหลาย ๆ สถานการณ์ การทำกิจกรรมของเด็กจะถูกเชื่อมโยงเข้าสู่ภาษาอ่าน เขียนที่มีความหมายต่อเด็ก เด็กจะได้แสดงออกถึงความเข้าใจจากประสบการณ์ที่เด็กมี รวมทั้งเปิดโอกาสให้เลือกเล่น หรือทำงานที่เด็กแต่ละคนชอบหรือสนใจ มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครู เด็กจะพอใจที่เรียนรู้อย่างมีความสุข
เยาวพา เดชะคุปต์ (2543:10) ได้กล่าวว่า การสอนภาษาแบบธรรมชาติ หมายถึง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งการเรียนรู้ภาษาที่ดีนั้น ต้องใช้ทักษะภาษาทั้ง 4 ด้าน เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน แต่ทั้งนี้อัตราการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละบุคคล
วิไลวรรณ เกื้อทาน (2540:38) ได้กล่าวว่า การสอนภาษาแบบธรรมชาติ หมายถึง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้จากสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตประจำวันเด็ก โดยใช้ภาษาเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ การสื่อสารและการคิด ให้เด็กพัฒนาทักษะทางภาษา ฟัง พูด อ่านและเขียนไปพร้อม ๆกัน โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
อำพร ศรีหรัญ (2540:55) กล่าวว่า การสอนตามแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ หมายถึง การเรียนการสอนที่เน้นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยเน้นให้เด็กเรียนรู้ทักษะทางภาษา ฟัง พูด อ่าน และเขียน ไปพร้อม ๆ กัน ไม่แยกเป็นทักษะย่อยยึดผู้เป็นศูนย์กลางและอาศัยประสบการณ์ของผู้เรียน
มยุรี กันทะลือ (2543:23) กล่าวว่า การสอนตามแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ หมายถึง การเรียนการสอนที่เน้นการเรียนรู้จากสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตประจำวันของเด็กโดยนำสิ่งที่เขาประสบพบเห็นในชีวิตประจำวัน ซึ่งหมายถึงภูมิหลังและวัฒนธรรมการดำรงชีวิตของเด็กแต่ละคนมาใช้เป็นประโยชน์ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และควรให้เด็กได้รับประสบการณ์ทางภาษาทุก ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน โดยยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง
สรุปได้ว่า การสอนภาษาแบบธรรมชาติ หมายถึง การจัดประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้ีภาษาจากสิ่งที่มีความหมายในชีวิตประจำวัน โดยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนภาษา เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ภาษาในการสื่อสาร โดยมีครูเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาให้เด็กพัฒนาทักษะทางภาษาทั้งในด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียนไปพร้อม ๆ กัน ปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกทำในสิ่งที่สนใจ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูในบรรยากาศที่อบอุ่นและยอมรับ